พื้นไม้สำหรับสนามกีฬาในร่มเป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีผลต่อทั้งคุณภาพการเล่นกีฬา ความสบายของผู้ใช้งาน และที่สำคัญคือ “ความปลอดภัย” โดยเฉพาะในกรณีฉุกเฉินอย่างเหตุเพลิงไหม้ ระดับกันไฟของพื้นไม้จึงกลายเป็นหัวข้อที่ต้องให้ความใส่ใจอย่างสูงในการออกแบบและก่อสร้างสนามกีฬา

ระดับกันไฟ (Fire Resistance) ของพื้นไม้สนามกีฬาคือความสามารถของวัสดุไม้ในการต้านทานต่อเปลวไฟ การลุกลามของไฟ และปริมาณควันที่เกิดขึ้นเมื่อเกิดการเผาไหม้ พื้นไม้ที่มีคุณสมบัติกันไฟที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดกับตัวอาคาร แต่ยังเพิ่มโอกาสในการอพยพผู้คนออกจากพื้นที่ได้อย่างปลอดภัยในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ในระดับมาตรฐานสากล พื้นไม้สำหรับสนามกีฬาควรผ่านการทดสอบระดับกันไฟตามเกณฑ์ต่างๆ เช่น มาตรฐาน EN 13501-1 ของยุโรป หรือ ASTM E84 ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะประเมินว่าไม้ชนิดนั้นติดไฟง่ายแค่ไหน เปลวไฟลุกลามเร็วเพียงใด และเมื่อเผาไหม้แล้วปล่อยควันในปริมาณมากหรือน้อย โดยทั่วไป ไม้ที่ใช้ในสนามกีฬามักถูกออกแบบให้อยู่ในระดับกันไฟคลาส B หรือ C ซึ่งถือว่าเหมาะสมกับการใช้งานในสถานที่ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก
ไม้ที่นิยมนำมาทำพื้นสนามกีฬา เช่น ไม้เมเปิ้ล (Maple), ไม้โอ๊ค (Oak) และไม้เบิร์ช (Birch) ล้วนเป็นไม้เนื้อแข็งที่ให้ความแข็งแรงและความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับกิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูง เช่น บาสเกตบอล วอลเลย์บอล หรือแบดมินตัน อย่างไรก็ตามไม้เหล่านี้โดยธรรมชาติสามารถติดไฟได้ ดังนั้นการเพิ่มคุณสมบัติกันไฟจึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงผ่านกรรมวิธีต่างๆ
หนึ่งในวิธีที่นิยมใช้คือการเคลือบสารหน่วงไฟลงบนผิวไม้ ซึ่งอาจใช้สารเคลือบใสหรือสารเคมีที่ฝังลึกลงไปในเนื้อไม้ วิธีนี้ช่วยลดการติดไฟของไม้และยับยั้งการลุกลามของเปลวไฟ นอกจากนี้การเลือกใช้ชั้นเคลือบพื้นผิว เช่น โพลียูรีเทนสูตรพิเศษที่มีคุณสมบัติกันไฟ ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยได้อีกขั้น
การออกแบบระบบพื้นไม้สนามกีฬาก็มีผลต่อระดับกันไฟเช่นกัน เช่น ระบบพื้นแบบกระดูกเดี่ยว (Single Batten) หรือระบบแบบลอยตัว (Floating System) อาจมีการเสริมฉนวนกันไฟไว้ในโครงสร้างด้านล่าง เพื่อชะลอการลุกลามของไฟและป้องกันไม่ให้ไฟลุกลามผ่านพื้นไม้ไปยังส่วนอื่นของอาคาร
อีกประเด็นที่สำคัญคือปริมาณควันที่เกิดจากการเผาไหม้ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการอพยพในพื้นที่ปิด เช่น สนามกีฬาในร่ม ไม้ที่ผ่านการเคลือบสารหน่วงไฟมักปล่อยควันในปริมาณต่ำ และมีสารประกอบที่ไม่ก่อให้เกิดพิษ ทำให้ปลอดภัยมากขึ้นในสถานการณ์ไฟไหม้
การดูแลรักษาหลังการติดตั้งก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม หากเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เคลือบหรือทำความสะอาดที่มีสารไวไฟ อาจส่งผลต่อระดับความปลอดภัยโดยรวมของพื้นสนามได้ ดังนั้นควรเลือกใช้น้ำยาเคลือบพื้นหรือผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาที่ได้รับการรับรองว่าปลอดภัยและไม่ติดไฟง่าย
อีกจุดที่ควรพิจารณาคือการติดตั้งระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้และระบบดับเพลิงที่มีประสิทธิภาพในบริเวณที่ใช้พื้นไม้ เช่น ติดตั้งสปริงเกลอร์หรือหัวฉีดน้ำไว้เหนือสนาม และมีทางหนีไฟพร้อมป้ายสัญลักษณ์อย่างชัดเจน เพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว
สรุปแล้ว การเลือกพื้นไม้สนามกีฬาที่มีระดับกันไฟที่ดีไม่เพียงแต่ตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัย แต่ยังสะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อผู้ใช้งานและมาตรฐานของอาคารในภาพรวม โดยการเลือกใช้ไม้คุณภาพที่ผ่านการทดสอบระดับกันไฟ และติดตั้งร่วมกับระบบที่ออกแบบมาเพื่อหน่วงไฟและลดการลุกลาม จะช่วยสร้างสนามกีฬาที่ปลอดภัย ใช้งานได้อย่างมั่นใจ และคงทนในระยะยาว
