พื้นไม้โอ๊คเป็นหนึ่งในวัสดุยอดนิยมที่ใช้ในการก่อสร้างพื้นสนามกีฬาในร่ม ด้วยคุณสมบัติที่แข็งแรง ทนทาน และให้สัมผัสในการเล่นที่ดี จึงถูกนำมาใช้ในสนามบาสเกตบอล สนามวอลเลย์บอล และสนามกีฬาอเนกประสงค์อย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ในบริบทของความปลอดภัย โดยเฉพาะในกรณีเกิดเพลิงไหม้ ระดับกันไฟของพื้นไม้โอ๊คถือเป็นประเด็นสำคัญที่ไม่ควรถูกมองข้าม

ไม้โอ๊คจัดอยู่ในกลุ่มไม้เนื้อแข็ง มีความหนาแน่นสูงและทนต่อแรงกระแทก จึงเหมาะอย่างยิ่งกับกิจกรรมที่ต้องการความมั่นคงของพื้น เช่น การวิ่ง กระโดด หรือการเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม แม้ไม้โอ๊คจะมีคุณสมบัติทางกายภาพที่โดดเด่น แต่มันยังคงเป็นวัสดุที่ติดไฟได้โดยธรรมชาติ การพิจารณาระดับกันไฟจึงมีความสำคัญเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใช้งาน
ระดับกันไฟของพื้นไม้โอ๊คขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งชนิดของไม้ การผ่านกระบวนการบำบัด และการเคลือบพื้นผิว ไม้โอ๊คที่ไม่ผ่านการบำบัดจะติดไฟได้ง่ายกว่าและสามารถลุกลามได้รวดเร็ว หากใช้ในสนามกีฬาในร่มซึ่งมีการระบายอากาศจำกัด ยิ่งเสี่ยงต่อการลุกลามของเพลิงในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
หนึ่งในวิธีที่นิยมใช้เพื่อเพิ่มระดับกันไฟให้กับไม้โอ๊คคือการเคลือบด้วยสารหน่วงไฟ (fire retardant coating) ซึ่งจะสร้างชั้นป้องกันบนผิวไม้ ทำให้เมื่อเกิดไฟไหม้ พื้นจะลุกไหม้ช้าลง และช่วยลดการแพร่กระจายของเปลวไฟ นอกจากนี้ ยังมีไม้โอ๊คที่ผ่านการบำบัดสารหน่วงไฟจากภายในเนื้อไม้ ซึ่งจะมีความสามารถกันไฟสูงกว่าไม้ที่ไม่ได้บำบัด และมีประสิทธิภาพที่ยาวนานกว่า
มาตรฐานกันไฟที่เกี่ยวข้องกับวัสดุก่อสร้าง เช่น ASTM E84, EN 13501-1 หรือ BS 476 สามารถใช้ประเมินระดับความสามารถในการต้านทานไฟของพื้นไม้โอ๊ค โดยจะพิจารณาทั้งการลุกไหม้ ความเร็วในการลุกลาม และปริมาณควันที่ปล่อยออกมา พื้นไม้โอ๊คที่ผ่านการทดสอบและได้รับการรับรองตามมาตรฐานเหล่านี้สามารถใช้ในสถานที่สาธารณะได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
สำหรับสนามกีฬา การเลือกใช้ไม้โอ๊คที่มีระดับกันไฟดีจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน โดยเฉพาะในสนามของโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือศูนย์กีฬาเทศบาล ซึ่งมีคนจำนวนมากใช้งานเป็นประจำ การลดความเสี่ยงจากไฟไหม้ไม่เพียงแต่ลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุ แต่ยังช่วยให้การทำประกันภัยเป็นไปได้ง่ายขึ้น และอาจช่วยลดเบี้ยประกันในบางกรณี
การดูแลรักษาพื้นไม้โอ๊คก็มีผลต่อระดับกันไฟในระยะยาว หากมีการขัดพื้นแล้วไม่ได้เคลือบสารหน่วงไฟใหม่ หรือใช้สารเคมีทำความสะอาดที่ติดไฟได้ง่าย ก็อาจทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันไฟลดลง การบำรุงรักษาอย่างเหมาะสม เช่น การตรวจสอบสารเคลือบ การทำความสะอาดด้วยน้ำยาที่ปลอดภัย และการตรวจสอบระบบไฟฟ้ารอบสนามจึงเป็นสิ่งจำเป็น
อีกประเด็นที่ควรพิจารณาคือโครงสร้างรองรับของพื้นไม้โอ๊ค หากใช้ร่วมกับโครงสร้างแบบกระดูกเดี่ยว (single bone structure) จะมีช่องว่างใต้พื้นไม้ ซึ่งอาจเป็นแหล่งสะสมความร้อนในกรณีเกิดเพลิงไหม้ การเลือกใช้วัสดุกันไฟในส่วนโครงสร้างใต้พื้น เช่น ฉนวนกันความร้อน หรือโครงเหล็กกันไฟ จะช่วยเสริมความปลอดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในเชิงเศรษฐศาสตร์ แม้พื้นไม้โอ๊คที่ผ่านการบำบัดสารหน่วงไฟจะมีต้นทุนสูงกว่าพื้นไม้ธรรมดา แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับความเสียหายที่อาจเกิดจากเพลิงไหม้ ทั้งในแง่ของทรัพย์สิน การหยุดให้บริการ และอันตรายต่อผู้ใช้งาน การลงทุนในวัสดุกันไฟจึงถือว่าคุ้มค่าและเป็นการวางแผนระยะยาวที่ดี
โดยสรุป ระดับกันไฟของพื้นไม้สนามกีฬาไม้โอ๊คเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงถึงอย่างรอบด้าน ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุ กระบวนการติดตั้ง การบำรุงรักษา จนถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย การให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในสนามกีฬา แต่ยังสะท้อนถึงความรับผิดชอบของผู้ดูแลและผู้ออกแบบที่คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้ใช้งานเป็นหลัก
