พื้นไม้กีฬาไม้โอ๊กเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการก่อสร้างสนามกีฬาในร่ม ไม่ว่าจะเป็นสนามบาสเกตบอล วอลเลย์บอล หรือฟิตเนส เนื่องจากไม้โอ๊กมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในด้านความแข็งแรง ทนทานต่อแรงกระแทก และมีอายุการใช้งานยาวนาน อย่างไรก็ตาม การติดตั้งและใช้งานพื้นไม้ชนิดนี้ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดเฉพาะทั้งในด้านโครงสร้าง การควบคุมสภาพแวดล้อม และการดูแลรักษา เพื่อให้พื้นไม้มีความปลอดภัยและเหมาะสมต่อการเล่นกีฬาทุกประเภท

ข้อกำหนดแรกที่ควรให้ความสำคัญคือคุณภาพของไม้โอ๊กที่ใช้ในการปูพื้น ไม้โอ๊กที่ดีต้องเป็นไม้แท้เกรด A ที่ผ่านการอบแห้งอย่างเหมาะสม มีความชื้นอยู่ในระดับไม่เกิน 8-12% เพื่อป้องกันไม่ให้ไม้เกิดการบิดงอหรือแตกร้าวในภายหลัง เนื้อไม้ควรมีความหนาไม่น้อยกว่า 20 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นระดับมาตรฐานที่สามารถรองรับแรงกระแทกจากการกระโดดและวิ่งได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถขัดพื้นและเคลือบซ้ำได้หลายครั้ง ทำให้ยืดอายุการใช้งานได้หลายปี
ในด้านโครงสร้างพื้นไม้ ควรใช้ระบบรองรับแรงกระแทกที่มีประสิทธิภาพ เช่น ระบบโครงกระดูกคู่ (Double Batten System) หรือระบบลอยตัว (Floating System) เพื่อช่วยลดแรงสะท้อนกลับที่อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บของนักกีฬา โครงสร้างต้องมีความมั่นคง เสถียร และสามารถรองรับการกระจายน้ำหนักได้อย่างสมดุล พื้นไม้ทุกแผ่นควรถูกติดตั้งอย่างแน่นหนาโดยเว้นร่องขยายตัวระหว่างแผ่นเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความชื้น
ข้อกำหนดสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การเตรียมพื้นฐานของพื้นที่ก่อนติดตั้ง พื้นที่ติดตั้งควรเป็นพื้นคอนกรีตที่แห้งสนิท เรียบเสมอ ไม่มีการทรุดตัว และควรมีการป้องกันความชื้นจากใต้พื้น เช่น การติดตั้งแผ่นกันชื้นหรือใช้สารเคลือบป้องกันความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ไม้ดูดซึมความชื้นจากด้านล่างจนเกิดความเสียหายในอนาคต
หลังจากติดตั้งพื้นไม้โอ๊กเรียบร้อยแล้ว จะต้องมีการขัดผิวหน้าให้เรียบและเคลือบด้วยสารเคลือบพื้นไม้คุณภาพสูง เช่น โพลียูรีเทน (Polyurethane) หรือสารเคลือบสูตรน้ำที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน โดยควรเคลือบอย่างน้อย 3 ชั้น เพื่อให้ได้ความเงางาม ทนต่อรอยขีดข่วน และป้องกันการลื่นล้มขณะใช้งาน พื้นที่ที่มีการใช้งานบ่อย เช่น สนามแข่งขันหรือโรงยิม ควรเลือกสารเคลือบที่มีความแข็งและทนทานเป็นพิเศษ
ในระหว่างการใช้งาน ต้องมีการควบคุมสภาพแวดล้อมภายในอาคารให้เหมาะสมอยู่เสมอ โดยอุณหภูมิควรอยู่ที่ประมาณ 18-24 องศาเซลเซียส และระดับความชื้นสัมพัทธ์ควรอยู่ที่ 35-60% เพื่อป้องกันไม้เกิดการหดหรือขยายตัวมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลให้พื้นไม้บิดเบี้ยวหรือยกตัวจนไม่ปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน
การดูแลรักษาพื้นไม้โอ๊กก็เป็นอีกข้อกำหนดที่ไม่ควรละเลย ควรทำความสะอาดพื้นไม้ทุกวันด้วยไม้กวาดหรือเครื่องดูดฝุ่น หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าเปียกหรือผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงในการเช็ดพื้น เพราะอาจทำลายสารเคลือบและเนื้อไม้ได้ และควรมีการตรวจสอบพื้นไม้อย่างสม่ำเสมอ หากพบความเสียหาย เช่น รอยแตก รอยยุบ หรือแผ่นไม้หลุด ควรรีบซ่อมแซมหรือเปลี่ยนทันทีเพื่อความปลอดภัย
ในกรณีที่พื้นไม้เริ่มเสื่อมสภาพ ควรมีการขัดผิวหน้าไม้และเคลือบใหม่ทุก 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับระดับการใช้งาน เพื่อคงความเงางามและคุณสมบัติด้านความปลอดภัยของพื้นไม้กีฬาให้ดีที่สุด ผู้ดูแลสนามควรจัดตารางบำรุงรักษาให้ชัดเจน และเลือกใช้ช่างผู้เชี่ยวชาญในการทำงานดังกล่าวเพื่อผลลัพธ์ที่มีคุณภาพ
กล่าวโดยสรุป ข้อกำหนดของพื้นไม้กีฬาไม้โอ๊กนั้นครอบคลุมทั้งกระบวนการตั้งแต่การเลือกวัสดุ การติดตั้งอย่างถูกต้อง การควบคุมสภาพแวดล้อม ไปจนถึงการบำรุงรักษาในระยะยาว การปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้อย่างเคร่งครัดจะช่วยให้พื้นไม้โอ๊กมีประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งาน มีความปลอดภัยต่อผู้เล่น และคงสภาพที่สวยงามและคงทนไปได้อีกหลายปีในอนาคต
