ค่าใช้จ่ายในการสั่งทำพื้นไม้กีฬา
พื้นไม้กีฬาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างสนามกีฬาที่ได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นสนามบาสเกตบอล วอลเลย์บอล แบดมินตัน หรือสนามอเนกประสงค์ในโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือศูนย์ฝึกซ้อม การเลือกใช้พื้นไม้สำหรับกีฬาไม่เพียงแค่เพิ่มความสวยงามให้กับสนามเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการเล่น ความปลอดภัย และความทนทานต่อการใช้งานระยะยาว การสั่งทำพื้นไม้กีฬาจึงกลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการสนามคุณภาพสูง

การสั่งทำพื้นไม้กีฬามีค่าใช้จ่ายที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นประเภทของไม้ ระบบโครงสร้างพื้น การติดตั้ง และรายละเอียดในการตกแต่งเพิ่มเติม เช่น การตีเส้นสนาม การเคลือบผิว หรือแม้แต่การเลือกวัสดุกันกระแทก โดยสามารถแยกวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายออกเป็นหมวดหมู่หลักๆ ได้ดังนี้
1. ประเภทของไม้ที่ใช้
ไม้ที่นิยมใช้สำหรับพื้นกีฬาในร่ม ได้แก่:
- ไม้เมเปิล (Maple Hardwood) เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความหนาแน่นสูง ยืดหยุ่นดี ทนต่อแรงกระแทก มีผิวเรียบและลายไม้สวยงาม นิยมใช้ในสนามแข่งขันระดับสากล ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 1,800–2,800 บาท/ตร.ม.
- ไม้ยางพาราอบแห้ง เป็นตัวเลือกที่ราคาประหยัดกว่า มีความยืดหยุ่นพอสมควร เหมาะสำหรับสนามฝึกซ้อมหรือสนามของโรงเรียน อยู่ที่ประมาณ 900–1,300 บาท/ตร.ม.
- ไม้ประกอบ (Engineered Wood) เป็นไม้แปรรูปที่ผ่านการอัดและเคลือบกันชื้น ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 1,000–1,600 บาท/ตร.ม.
2. ระบบโครงสร้างพื้น
พื้นไม้กีฬาต้องติดตั้งบนระบบรองพื้นเพื่อให้มีแรงยืดหยุ่นและดูดซับแรงกระแทกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบพื้นสามารถแบ่งเป็น:
- ระบบพื้นลอย (Floating System) วางบนชั้นยางและไม้รองพื้นโดยไม่ต้องยึดกับพื้นคอนกรีต เหมาะสำหรับสนามที่ต้องการติดตั้งรวดเร็ว ราคาประมาณ 600–1,200 บาท/ตร.ม.
- ระบบพื้นยึด (Anchored System) ติดตั้งระบบตัวยึดกับพื้นเพื่อความมั่นคง เหมาะกับสนามที่ใช้งานหนัก ราคาสูงกว่าเล็กน้อย 800–1,500 บาท/ตร.ม.
3. ค่าแรงติดตั้ง
การติดตั้งพื้นไม้กีฬาจำเป็นต้องใช้ทีมช่างผู้เชี่ยวชาญที่มีความเข้าใจโครงสร้างพื้นกีฬาโดยเฉพาะ เพื่อให้เกิดความแม่นยำในการวางไม้และเว้นระยะตามมาตรฐาน ค่าแรงจะอยู่ที่ประมาณ 400–800 บาท/ตร.ม. ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของระบบและขนาดของพื้นที่
4. ค่าทาสีและตีเส้นสนาม
สนามกีฬาจำเป็นต้องมีการตีเส้นเพื่อกำหนดพื้นที่การเล่น เช่น เส้นขอบสนาม เส้นแบ่งฝั่ง หรือเส้นสามแต้มในบาสเกตบอล ค่าทาสีสนามกีฬาโดยใช้สีชนิดพิเศษสำหรับพื้นไม้อยู่ที่ประมาณ 200–400 บาท/ตร.ม.
5. ค่าเคลือบพื้น
เพื่อเพิ่มความเงางาม ทนทาน และกันลื่น พื้นไม้กีฬาจะต้องเคลือบด้วยสารโพลียูรีเทนหรือวัสดุเคลือบผิวอื่นๆ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ 150–300 บาท/ตร.ม. โดยแนะนำให้เคลือบ 2-3 ชั้น เพื่อยืดอายุการใช้งาน
6. ค่าบำรุงรักษาและบริการหลังการติดตั้ง
บางผู้ให้บริการอาจรวมค่าบำรุงรักษาในปีแรกไว้ในแพ็กเกจด้วย ซึ่งอาจรวมถึงการทำความสะอาดพื้น ตรวจสอบระดับความชื้น และขัดเคลือบซ้ำหากจำเป็น
ตัวอย่างประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับสนามพื้นไม้ขนาด 500 ตารางเมตร
| รายการ | ราคาต่อหน่วย (บาท) | ราคารวม (บาท) |
| ไม้เมเปิล | 2,500 | 1,250,000 |
| ระบบโครงสร้างพื้นลอย | 1,000 | 500,000 |
| ค่าแรงติดตั้ง | 600 | 300,000 |
| ค่าทาสีและตีเส้น | 300 | 150,000 |
| ค่าเคลือบพื้น | 250 | 125,000 |
| รวมโดยประมาณ | 2,325,000 บาท |
หมายเหตุ: ราคานี้เป็นการประมาณการในระดับกลางและอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามวัสดุ พื้นที่ติดตั้ง และเงื่อนไขเฉพาะของแต่ละโครงการ
สรุป
การสั่งทำพื้นไม้กีฬาถือเป็นการลงทุนที่ต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ เพราะนอกจากจะเกี่ยวข้องกับงบประมาณแล้ว ยังส่งผลต่อคุณภาพการเล่นกีฬา ความปลอดภัยของผู้ใช้งาน และความคงทนของสนามในระยะยาว การเลือกวัสดุที่เหมาะสม ใช้ช่างผู้เชี่ยวชาญ และใช้ระบบพื้นที่ได้มาตรฐาน จะช่วยให้สนามกีฬามีคุณภาพ คุ้มค่า และสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเป็นเวลาหลายปี
