พื้นไม้สนามกีฬาถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีผลต่อคุณภาพของการแข่งขัน ความปลอดภัยของผู้เล่น และภาพลักษณ์โดยรวมของสนาม ไม่ว่าจะเป็นสนามบาสเกตบอล วอลเลย์บอล แบดมินตัน หรือฟุตซอล พื้นไม้ที่ได้มาตรฐานสามารถช่วยลดแรงกระแทก เพิ่มความยืดหยุ่น และส่งเสริมสมรรถนะของนักกีฬาได้อย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในคำถามที่มักพบจากผู้ที่มีแผนจะก่อสร้างหรือปรับปรุงสนามกีฬาคือ “ราคาต่อเมตรของพื้นไม้สนามกีฬาอยู่ที่เท่าไหร่?” คำตอบของคำถามนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน

- ประเภทของไม้ที่ใช้ปูพื้นสนามกีฬา
ไม้ที่นำมาใช้ทำพื้นสนามกีฬามีหลายชนิด แต่ชนิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่:
- ไม้เมเปิ้ล (Maple): แข็งแรง ทนทาน มีผิวเนียนละเอียด ทนต่อแรงกระแทกสูง เหมาะสำหรับสนามบาสเกตบอลระดับแข่งขัน
- ไม้โอ๊ค (Oak): มีลายไม้ชัดเจน สวยงาม แข็งแรงพอสมควร ราคาย่อมเยากว่าไม้เมเปิ้ล
- ไม้ยางพารา: ใช้กันมากในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ราคาถูก แต่ต้องเลือกไม้ที่ผ่านกระบวนการอบแห้งที่มีคุณภาพ
- ไม้เต็ง/ไม้เนื้อแข็งเขตร้อน: นิยมใช้ในบางพื้นที่ของไทย มีความทนทานต่อสภาพอากาศร้อนชื้น
แต่ละชนิดมีคุณสมบัติและราคาที่แตกต่างกัน ซึ่งจะส่งผลต่อราคาต่อเมตรของพื้นโดยตรง
- รูปแบบของโครงสร้างพื้น
พื้นไม้สนามกีฬามักประกอบด้วยหลายชั้น ไม่ใช่เพียงแค่แผ่นไม้เท่านั้น โดยทั่วไปมีองค์ประกอบดังนี้:
- ชั้นรองพื้นกันความชื้น (Moisture Barrier)
- ชั้นโฟมยางดูดซับแรงกระแทก
- ชั้นโครงไม้ (Battens)
- พื้นไม้จริง
ระบบโครงสร้างสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก:
- ระบบโครงเดี่ยว (Single Layer Batten): ใช้ไม้รองพื้นเพียงชั้นเดียว ราคาประหยัด
- ระบบโครงคู่ (Double Layer Batten): เสริมความแข็งแรงและยืดหยุ่นสูงขึ้น
- ระบบลอยตัว (Floating System): ไม่ยึดติดกับพื้นคอนกรีตโดยตรง ช่วยลดแรงสะเทือนอย่างมีประสิทธิภาพ
- ราคาต่อเมตรของพื้นไม้สนามกีฬา (โดยประมาณ)
เพื่อให้เข้าใจชัดเจน เราสามารถแบ่งราคาต่อเมตรตามประเภทไม้และระบบโครงสร้างดังนี้:
| ประเภทไม้ | ระบบโครงสร้าง | ราคาต่อเมตร (โดยประมาณ) |
| ไม้เมเปิ้ลเกรด A | โครงคู่/ลอยตัว | 1,800 – 2,500 บาท/เมตร |
| ไม้เมเปิ้ลเกรด B | โครงเดี่ยว | 1,200 – 1,800 บาท/เมตร |
| ไม้โอ๊ค | โครงเดี่ยว | 900 – 1,500 บาท/เมตร |
| ไม้ยางพาราอบแห้ง | โครงเดี่ยว | 700 – 1,200 บาท/เมตร |
| ไม้เต็งหรือไม้เนื้อแข็งไทย | โครงคู่ | 1,000 – 1,600 บาท/เมตร |
หมายเหตุ: ราคาดังกล่าวไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และอาจเปลี่ยนแปลงตามพื้นที่ติดตั้งหรือช่วงเวลา
- ปัจจัยอื่นที่มีผลต่อราคา
- ความหนาของไม้: ไม้หนากว่า ราคาก็จะสูงขึ้น
- การเคลือบผิว: หากใช้ระบบเคลือบยูรีเทนหรืออะคริลิกแบบพิเศษ จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
- การตีเส้นสนาม: มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 50–150 บาท/ตร.ม.
- ค่าขนส่งและแรงงาน: หากสถานที่ก่อสร้างอยู่ไกลหรืออยู่ในพื้นที่ยากต่อการขนส่ง อาจมีค่าขนส่งเพิ่ม
- ข้อดีของการเลือกพื้นไม้คุณภาพดี
แม้ว่าการติดตั้งพื้นไม้สนามกีฬาจะมีราคาค่อนข้างสูง แต่ก็มีข้อดีที่คุ้มค่าระยะยาว เช่น:
- เพิ่มความปลอดภัยให้ผู้เล่น ลดความเสี่ยงบาดเจ็บ
- ให้ความรู้สึกนุ่มแน่น เหมาะกับการวิ่ง กระโดด หรือเคลื่อนไหวรวดเร็ว
- อายุการใช้งานยาวนานถึง 15–25 ปี หากดูแลดี
- เสริมภาพลักษณ์สนามกีฬาให้ดูเป็นมืออาชีพ
- การดูแลรักษาพื้นไม้สนามกีฬา
เพื่อให้พื้นไม้มีอายุการใช้งานนาน ควรดูแลดังนี้:
- ทำความสะอาดด้วยไม้กวาดหรือเครื่องดูดฝุ่นเป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงน้ำหกหรือความชื้นสะสม
- เคลือบพื้นใหม่ทุก 2–3 ปี
- หลีกเลี่ยงการลากของหนักบนพื้นโดยตรง
- สรุปภาพรวมราคาและความคุ้มค่า
หากพิจารณาในระยะยาว พื้นไม้คุณภาพดีพร้อมโครงสร้างมาตรฐานสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และลดการเปลี่ยนพื้นในอนาคต ราคาต่อเมตรของพื้นไม้สนามกีฬาโดยรวมแล้วจะอยู่ในช่วง 700 – 2,500 บาทต่อเมตร ขึ้นอยู่กับวัสดุที่เลือกและระบบโครงสร้างที่ใช้
การเลือกพื้นไม้สนามกีฬาที่เหมาะสมควรคำนึงถึงความต้องการใช้งาน งบประมาณ และคุณภาพโดยรวม หากสามารถเลือกได้อย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้สนามมีความปลอดภัย สวยงาม และใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
