ระดับกันไฟของพื้นไม้สนามกีฬาแบบกระดูกเดี่ยว

พื้นไม้สนามกีฬาแบบกระดูกเดี่ยว (Single Bone Structure) เป็นโครงสร้างพื้นไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในสนามกีฬาในร่ม เช่น สนามบาสเกตบอล วอลเลย์บอล หรือแบดมินตัน ด้วยคุณสมบัติที่แข็งแรง รองรับแรงกระแทกได้ดี และให้ความยืดหยุ่นขณะเคลื่อนไหว จึงเหมาะกับการใช้งานในกิจกรรมที่ต้องการความปลอดภัยสูง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ “ระดับกันไฟ” ของพื้นไม้ ซึ่งมีผลต่อความปลอดภัยในกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ โดยเฉพาะในสถานที่ปิดที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก

ระดับกันไฟของพื้นไม้สนามกีฬาแบบกระดูกเดี่ยว
ระดับกันไฟของพื้นไม้สนามกีฬาแบบกระดูกเดี่ยว

พื้นไม้ที่ใช้ในโครงสร้างสนามกีฬาแบบกระดูกเดี่ยวมักทำจากไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้เมเปิลหรือไม้โอ๊ก ซึ่งมีความทนทานและให้สัมผัสที่ดีในการเล่นกีฬา แต่ไม้ในธรรมชาตินั้นเป็นวัสดุติดไฟได้ง่าย การพิจารณาคุณสมบัติกันไฟจึงเป็นสิ่งจำเป็นในกระบวนการออกแบบและก่อสร้างพื้นสนามกีฬาในร่ม

ระดับกันไฟของพื้นไม้สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายระดับ ขึ้นอยู่กับมาตรฐานการทดสอบที่ใช้ เช่น มาตรฐาน EN (ยุโรป), ASTM (สหรัฐอเมริกา) หรือ JIS (ญี่ปุ่น) ซึ่งจะประเมินคุณสมบัติกันไฟจากหลายด้าน เช่น ความสามารถในการต้านทานเปลวไฟ ระยะเวลาที่วัสดุยังคงโครงสร้างได้ภายใต้ความร้อน และปริมาณควันที่ปล่อยออกมา การเลือกใช้ไม้ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานเหล่านี้จึงเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดในการเพิ่มความปลอดภัยให้กับสนามกีฬา

การเพิ่มระดับกันไฟของพื้นไม้สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเคลือบพื้นผิวไม้ด้วยสารหน่วงไฟ (Fire Retardant Coating) ซึ่งจะช่วยลดการลุกลามของเปลวไฟในกรณีเกิดเหตุ หรือการเลือกใช้ไม้ที่ผ่านกระบวนการบำบัดสารหน่วงไฟจากโรงงาน ซึ่งจะฝังสารลงในเนื้อไม้ ทำให้ทนต่อไฟได้ดีขึ้นอย่างถาวร นอกจากนี้ โครงสร้างรองรับอย่างโครงไม้หรือโครงโลหะใต้พื้นก็ควรได้รับการออกแบบให้มีความสามารถในการต้านไฟ เช่น ใช้เหล็กชุบสังกะสีหรือวัสดุกันไฟเสริม

ช่องว่างระหว่างพื้นไม้กับพื้นฐานของโครงสร้างแบบกระดูกเดี่ยวเป็นอีกหนึ่งจุดที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะอากาศในช่องว่างเหล่านี้สามารถเป็นตัวนำความร้อนและเร่งการลุกไหม้ได้ หากไม่มีการระบายอากาศหรือการป้องกันไฟอย่างเหมาะสม จึงควรติดตั้งวัสดุกันไฟหรือฉนวนกันความร้อนในจุดเหล่านี้ร่วมด้วย

ในประเทศไทย แม้จะยังไม่มีการบังคับใช้มาตรฐานกันไฟในพื้นสนามกีฬาอย่างเข้มงวดเท่ากับในต่างประเทศ แต่แนวโน้มความตระหนักด้านความปลอดภัยในอาคารสาธารณะกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสถานศึกษาหรือศูนย์กีฬาเทศบาลที่มีประชาชนใช้งานหนาแน่น การให้ความสำคัญกับระดับกันไฟตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบจึงถือเป็นการวางแผนล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

การตรวจสอบและบำรุงรักษาพื้นไม้สนามกีฬาอย่างสม่ำเสมอยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยคงสภาพคุณสมบัติกันไฟ เช่น หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีติดไฟในการทำความสะอาด ไม่วางสายไฟหรืออุปกรณ์ที่เกิดความร้อนโดยตรงบนพื้น และควรตรวจเช็กการเคลือบสารหน่วงไฟเป็นระยะเพื่อให้มั่นใจว่ายังมีประสิทธิภาพอยู่

ในเชิงเศรษฐศาสตร์ แม้ว่าไม้ที่ผ่านการบำบัดสารหน่วงไฟหรือมีการเคลือบผิวเฉพาะทางจะมีต้นทุนสูงกว่าพื้นไม้ทั่วไป แต่เมื่อพิจารณาความคุ้มค่าในระยะยาว เช่น การลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหลังเหตุเพลิงไหม้ หรือการผ่านเกณฑ์ของประกันอัคคีภัย ก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและยั่งยืน

นอกจากการเลือกวัสดุที่เหมาะสมแล้ว ผู้วางแผนและผู้รับเหมาติดตั้งยังควรคำนึงถึงแผนรับมือกรณีฉุกเฉิน เช่น การจัดวางทางหนีไฟ การติดตั้งสัญญาณเตือนอัคคีภัย และระบบดับเพลิงอัตโนมัติ เพื่อเสริมความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานอย่างรอบด้าน

โดยสรุป พื้นไม้สนามกีฬาแบบกระดูกเดี่ยวเป็นโครงสร้างที่ได้รับความนิยมด้วยคุณสมบัติด้านความยืดหยุ่นและความแข็งแรง แต่เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยโดยรวม การคำนึงถึงระดับกันไฟตั้งแต่การเลือกวัสดุ การออกแบบโครงสร้าง จนถึงการบำรุงรักษา จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม การลงทุนในระบบป้องกันอัคคีภัยไม่เพียงเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้ แต่ยังสะท้อนถึงความรับผิดชอบและความใส่ใจในมาตรฐานของสถานที่อีกด้วย

 

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top