วิธีการสั่งทำพื้นไม้กีฬาในหน่วยงาน

การสั่งทำพื้นไม้กีฬาในหน่วยงานราชการหรือองค์กรเอกชนถือเป็นกระบวนการที่ต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบและมีมาตรฐาน เนื่องจากพื้นไม้กีฬาไม่ได้เป็นเพียงแค่พื้นสำหรับการออกกำลังกาย แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย สนับสนุนการพัฒนาทักษะ และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ใช้งาน เช่น นักเรียน ข้าราชการ หรือพนักงานบริษัท การเลือกวัสดุและขั้นตอนการติดตั้งจึงต้องมีคุณภาพสูงเพื่อลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ และสามารถใช้งานได้ยาวนาน

วิธีการสั่งทำพื้นไม้กีฬาในหน่วยงาน
วิธีการสั่งทำพื้นไม้กีฬาในหน่วยงาน

ก่อนการสั่งทำพื้นไม้กีฬาในหน่วยงาน ขั้นตอนแรกคือการประเมินความต้องการขององค์กร เช่น พื้นที่จะใช้เป็นสนามกีฬาประเภทใด (บาสเกตบอล วอลเลย์บอล แบดมินตัน หรืออเนกประสงค์) ความถี่ในการใช้งาน และกลุ่มผู้ใช้งานหลัก ข้อมูลเหล่านี้มีผลต่อการเลือกวัสดุและระบบพื้นไม้ที่เหมาะสม โดยพื้นไม้ที่ใช้ในกีฬาแต่ละประเภทจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เช่น ความยืดหยุ่น การดูดซับแรงกระแทก และความทนทานต่อแรงเสียดทาน

เมื่อตัดสินใจเลือกประเภทสนามกีฬาได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการสำรวจพื้นที่ที่ต้องการติดตั้งพื้นไม้ โดยต้องตรวจสอบความเรียบ ความแข็งแรงของพื้นเดิม ระบบระบายน้ำ ความชื้น และการระบายอากาศของอาคาร เพื่อป้องกันปัญหาไม้บวมหรือบิดงอในภายหลัง หากพบว่าพื้นเก่ามีปัญหา อาจจำเป็นต้องปรับระดับหรือเทคอนกรีตใหม่เพื่อรองรับระบบพื้นไม้ที่จะติดตั้ง

การเลือกชนิดของไม้เป็นอีกขั้นตอนที่สำคัญ โดยทั่วไป ไม้ที่นิยมใช้ในสนามกีฬาคือไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้เมเปิ้ล (Maple) ไม้เบิร์ช (Birch) และไม้โอ๊ก (Oak) ซึ่งแต่ละชนิดมีคุณสมบัติเฉพาะตัว เช่น ไม้เมเปิ้ลมีความแข็งแรงสูงและให้แรงกระเด้งที่ดี เหมาะสำหรับกีฬาที่ต้องการความรวดเร็วในการเคลื่อนไหว ไม้โอ๊กทนต่อแรงกระแทกและให้ลวดลายที่สวยงาม ส่วนไม้เบิร์ชมีความยืดหยุ่นและราคาย่อมเยา เหมาะกับหน่วยงานที่ต้องการควบคุมงบประมาณ

หลังจากเลือกไม้ได้แล้ว จะเข้าสู่กระบวนการออกแบบระบบพื้น โดยระบบพื้นไม้สำหรับสนามกีฬามักประกอบด้วยชั้นพื้นหลัก (subfloor) ที่ช่วยกระจายแรงกระแทก และชั้นไม้ด้านบน (surface floor) ซึ่งเป็นชั้นที่สัมผัสโดยตรงกับผู้ใช้งาน ในบางกรณีอาจมีการติดตั้งแผ่นยางหรือโฟมรองพื้นเพื่อเพิ่มการดูดซับแรงและลดแรงกระแทกที่ส่งกลับมาสู่ขานักกีฬา ระบบพื้นเหล่านี้ต้องได้รับการติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกแผ่นไม้เรียบเสมอ ไม่มีจุดนูนหรือจุดยุบที่อาจเป็นอันตราย

ขั้นตอนถัดมาคือการผลิตพื้นไม้ตามขนาดที่กำหนด โดยโรงงานที่ได้มาตรฐานจะมีการอบไม้ให้แห้ง ลดความชื้น เพื่อป้องกันการหดตัวหรือขยายตัวในอนาคต ไม้ที่ผลิตออกมาจะถูกเคลือบสารป้องกันความชื้นและเชื้อราเบื้องต้น ก่อนจะนำมาติดตั้งที่หน่วยงานตามลำดับงานที่วางไว้

เมื่อแผ่นไม้มาถึงสถานที่ติดตั้ง ทีมช่างจะเริ่มงานโดยวางโครงสร้างพื้นตามแนวที่กำหนด จากนั้นจึงติดตั้งแผ่นไม้ทีละแผ่น โดยต้องมีการควบคุมระดับให้เรียบเสมอกัน การติดตั้งอาจใช้ระบบล็อกแบบลิ้นร่อง หรือตะปูยิงเฉียง ซึ่งช่วยลดการขยับของแผ่นไม้ในระยะยาว หลังติดตั้งเสร็จจะทำการขัดพื้นด้วยเครื่องขัดละเอียด เพื่อให้ผิวไม้เรียบเนียนพร้อมสำหรับขั้นตอนการเคลือบผิว

ในกรณีที่เป็นสนามกีฬาแบบมีเส้น เช่น บาสเกตบอล แบดมินตัน หรือฟุตซอล จะมีการตีเส้นสนามตามมาตรฐานสากล โดยใช้สีพิเศษที่มีความทนทาน ไม่หลุดลอกง่าย และไม่ลื่นจนก่อให้เกิดอุบัติเหตุ หลังจากตีเส้นสนามเสร็จแล้วจะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายคือการเคลือบผิวไม้ด้วยสารยูรีเทนหรือสารเคลือบเฉพาะสำหรับพื้นกีฬา ซึ่งช่วยเพิ่มความเงางาม ป้องกันรอยขีดข่วน และยืดอายุการใช้งานของพื้น

เมื่อเคลือบพื้นเสร็จแล้ว ควรปล่อยให้แห้งอย่างน้อย 48 ชั่วโมง ก่อนเปิดใช้งานสนาม เพื่อให้สารเคลือบเซ็ตตัวอย่างสมบูรณ์ และพื้นไม้มีความแข็งแรงพร้อมรองรับการใช้งานจริง การบำรุงรักษาในระยะยาวก็สำคัญไม่แพ้กัน หน่วยงานควรจัดทำแผนการดูแลรักษาพื้น เช่น การทำความสะอาดประจำวัน การตรวจสอบรอยชำรุด และการเคลือบผิวใหม่ทุก 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับความถี่ในการใช้งาน

กล่าวโดยสรุป การสั่งทำพื้นไม้กีฬาในหน่วยงานไม่ใช่เพียงแค่การติดตั้งพื้นใหม่เท่านั้น แต่เป็นการลงทุนเพื่อส่งเสริมสุขภาพ การกีฬา และความปลอดภัยของผู้ใช้งาน หากดำเนินการอย่างถูกต้องและเลือกใช้วัสดุที่ได้มาตรฐาน ก็จะได้สนามกีฬาที่มีคุณภาพ ทนทาน และใช้งานได้ยาวนานคุ้มค่าในระยะยาว

 

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top